บทความโรคตับ

โรคตับ (Liver disease) คือ โรคที่เกิดจากตับทำงานผิดปกติ ด้อยประสิทธิภาพลง ทั้งนี้ตับเป็นอวัยวะสำคัญอวัยวะหนึ่งต่อการดำรงชีวิต มีหน้าที่หลายประการ

ดังนั้นถ้าตับทำงานได้น้อยลง หรือเกิดโรคของตับ จะส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติได้หลายอย่าง เช่น เลือดออกง่าย และมีของเสียต่างๆสะสมในร่างกาย จนนำไปสู่การเสียชีวิตได้ เมื่อตับเสียการทำงานจนถึงขั้นเข้าสู่ภาวะตับวาย

โรคตับเป็นโรคพบได้บ่อยโรคหนึ่ง ในสหรัฐอเมริกาพบโรคตับ อยู่ในลำดับที่ 10 ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของประชากรสหรัฐอเมริกา

โรคตับพบเกิดได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ เช่น ภาวะตัวเหลืองที่พบได้ตั้งแต่แรกเกิด (ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก) หรือโรคไวรัสตับอักเสบที่พบได้ในทุกอายุ ทั้งนี้พบโรคตับเกิดในเพศชายมากกว่าในเพศหญิง ซึ่งอาจเพราะเพศชายดื่มสุรามากกว่าเพศหญิง (สุราเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบ และโรคตับแข็งโรคตับที่พบได้บ่อย คือ โรคตับอักเสบและโรคตับแข็งที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอ ฮอล์ รองลงไปคือ โรคไวรัสตับอักเสบ โรคไขมันพอกตับ โรคตับอักเสบจากสาเหตุอื่นๆนอก เหนือจากติดเชื้อไวรัสและดื่มแอลกอฮอล์ (เช่น จากผลข้างเคียงจากยา และโรคมะเร็งตับ

โรคตับมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?

สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคตับ ที่สำคัญที่สุด คือ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รองลงไปคือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบได้หลายชนิด ที่พบบ่อย คือ ไวรัสตับอักเสบ เอ ไวรัสตับอักเสบ บี และไวรัสตับอักเสบ ซี

นอกจากนั้น คือสาเหตุอื่น เช่น

อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ?

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ ได้แก่

โรคตับมีอาการอย่างไร?

อาการจากโรคตับ มีได้หลากหลายอาการ ขึ้นกับสาเหตุ แต่อาการโดยรวมที่มักคล้าย คลึงกันในทุกสาเหตุและทำให้แพทย์คิดถึงโรคของตับ ได้แก่

แพทย์วินิจฉัยโรคตับได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยโรคของตับได้จาก ประวัติอาการ ประวัติการเจ็บป่วยต่างๆทั้งในอดีตและปัจจุบัน ประวัติการใช้ยาต่างๆ การตรวจร่างกาย การตรวจเลือดดูค่าการทำงานหรือค่าเอนไซม์ของตับ (เช่น Alkaline phosphatase ย่อว่า AP หรือ ALP, Alanine transaminase ย่อว่า ALT , และ Aspartate aminotransferase ย่อว่า AST)

นอกจากนี้ อาจมีการตรวจอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับอาการของผู้ป่วย สิ่งผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบ และดุลพินิจของแพทย์ เช่น การตรวจภาพตับด้วย อัลตราซาวด์ เอกซเรย์คอมพิว เตอร์ หรือเอมอาร์ไอ การส่องกล้องตรวจทางเดินน้ำดีในตับ การฉีดสีตรวจทางเดินน้ำดีในตับ (Cholangiography) และ/หรือการตัดชิ้นเนื้อจากตับเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา

รักษาโรคตับอย่างไร?

แนวทางการรักษาโรคตับ คือ การรักษาสาเหตุ ร่วมกับการรักษาประคับประคองตามอาการ

โรคตับรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?

ความรุนแรงของโรคตับขึ้นกับสาเหตุ เช่น

ส่วนผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อนจากการมีโรคตับ คือ ภาวะตัวตาเหลือง (โรคดีซ่าน) การมีน้ำในช่องท้อง และภาวะตับวาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้

ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

เมื่อมีอาการต่างๆดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ อาการ ควรรีบพบแพทย์เสมอ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ

แต่เมื่อเป็นโรคตับแล้ว การดูแลตนเอง คือ

  • ปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาลแนะนำ กินยาต่างๆที่แพทย์แนะนำให้ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ขาดยา
  • เลิกดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • กินยาเฉพาะที่แพทย์สั่ง ไม่ซื้อยากินเอง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำจากการอาเจียน
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ควรปรึกษาแพทย์ พยาบาลในเรื่องอาหาร เพื่อการบริโภคได้อย่างเหมาะสม เพราะจะแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน ทั้งนี้ขึ้นกับประสิทธิภาพการทำงานของตับของผู้ป่วยแต่ละคน (อาหารในผู้ ป่วยโรคตับ)
  • เคลื่อนไหวร่างกาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามควรกับสุขภาพ
  • พบแพทย์ตามนัดเสมอ
  • รีบพบแพทย์ก่อนนัด เมื่ออาการต่างๆเลวลง หรือมีอาการผิดไปจากเดิม หรือเมื่อกังวลในอาการ

มีการตรวจคัดกรองโรคตับไหม?

การตรวจคัดกรองโรคตับไม่มีการแนะนำเป็นกรณีเฉพาะ แต่จะเป็นการตรวจประจำอยู่ในการตรวจสุขภาพประจำปีโดยแพทย์ ซึ่งเป็นการสอบถามประวัติอาการทางการแพทย์ทั่วๆไป การตรวจร่างกาย การตรวจคลำตับ และการตรวจเลือดดูการทำงานของตับ ซึ่งหากแพทย์พบว่า ผิดปกติ จึงจะมีการสอบถามประวัติทางการแพทย์ ร่วมกับการตรวจอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับดุล พินิจของแพทย์ เช่น การตรวจอัลตราซาวด์ภาพตับ เป็นต้น

ป้องกันโรคตับได้อย่างไร?

การป้องกันโรคตับสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะดังกล่าวแล้วในหัวข้อสาเหตุ /ปัจจัยเสี่ยงว่า สาเหตุสำคัญของโรคตับ คือ จากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ดังนั้นการป้องกันที่ประสิทธิภาพที่สุด คือ

  • การไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือถ้าดื่มก็ต้องจำกัด เป็นครั้งคราวในปริมาณไม่มาก สมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (ACS,American Cancer Society) แนะนำ จำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด โดยในแต่ละวัน ผู้ชายไม่ควรดื่มเบียร์เกิน 350 มิลลิลิตร (มล.) ไวน์ไม่เกิน 150 มล. และสุรา ไม่เกิน 50 มล. ในผู้หญิงลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของผู้ชาย เพราะมีรูปร่างและน้ำหนักตัวน้อยกว่าผู้ชาย รวมทั้งสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (AHA,American Heart Association) ก็แนะนำการจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เช่นกัน
  • การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ ซึ่งรวมถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบทุกชนิดด้วย

นอกจากนั้น ยังอาจป้องกันโรคตับได้จากการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การไม่ใช้ยาพร่ำเพรื่อ การไม่กินเห็ดหรือสมุนไพรต่างๆที่ไม่รู้จัก การไม่ใช้สารเสพติด การป้องกัน ควบคุมและรักษาโรคต่างๆที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำ คัญ ได้แก่ โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคไขมันในเลือดสูง

 

ขอขอบคุณ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
วว.รังสีรักษา และเวชศาสตร์นิวเคลียร์

Visitors: 60,762