บทความหูคอจมูก
โรคภูมิแพ้หูคอจมูกเกิดจากอะไร? เกิดได้อย่างไร?
โรคภูมิแพ้ (Allergy) ซึ่งในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะ "โรคภูมิแพ้หูคอจมูก” (ENT and Allergy, ENT ย่อมาจาก Ear Nose Throat) เท่านั้น โดยโรคภูมิแพ้ต่างๆจัดเป็นโรคเรื้อรังเช่นเดียวกับโรค เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้หูคอจมูก ร่างกายจะมีการตอบสนองที่รุนแรงผิดปกติที่เรียกว่า ภาวะไวเกิน (Hypersensitive) ต่อสารหลากหลายชนิดที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งสารเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดย
- ปนมากับอากาศที่เราหายใจเช่น ฝุ่น มูลของตัวไร แบคทีเรีย เชื้อรา เกสรดอกไม้ และอื่นๆ
- ปนมากับอาหารที่รับประทาน และ/หรือ
- อาจมาสัมผัสกับตัวเราโดยตรง
เมื่อสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้เข้าสู่ร่างกายจะทำให้ร่างกายสร้างสารหลายชนิดเช่น สารฮีสตามีน (Histamine) สาร Leukotrienes และอื่นๆ ซึ่งสารเหล่านี้จะกระตุ้นให้ผู้ป่วยแสดงอาการแพ้ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับเนื้อเยื่อ/อวัยวะในหลายๆระบบพร้อมๆกันหรือระบบใดระบบหนึ่งก็ได้ขึ้นกับการตอบสนองของร่างกายแต่ละคนเช่น ระบบหูคอจมูก ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร และ /หรือผิวหนัง เป็นต้น
โรคภูมิแพ้หูคอจมูกมีอาการอย่างไร?จอประสาทตาเสื่อม
จุดภาพชัด (Macula)
เป็นจุดที่อยู่ตรงกลางของจอตา (Retina) ซึ่งมีเซลล์ประสาทรับรู้แสงและสี
(Cones) จำนวนมาก จึงทำให้เราสามารถมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน
แต่ในผู้สูงอายุอาจเกิดภาวะเสื่อมของจุดภาพชัดนี้ได้
ซึ่งจะทำให้สายตาพิการอย่างถาวร
โรคจุดภาพชัดเสื่อมตามวัย, โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม หรือที่มักเรียกว่า
“โรคจอประสาทตาเสื่อม” หรือ “โรคจอตาเสื่อม” (Aged-related macular degeneration – AMD) เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของจอประสาทตาในบริเวณจุดภาพชัด (Macula) เป็นเหตุทำให้ผู้ป่วยมีสายตาเลือนรางหรือตาบอด
โดยเฉพาะตรงกลางของภาพ (แต่ยังคงมองเห็นขอบด้านข้างของภาพได้ปกติ)
ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจเกิดการเสื่อมของจอประสาทตาขึ้นอย่างช้า ๆ จนแทบไม่ทันสังเกตหรือไม่รู้สึกว่าผิดปกติ
ในขณะที่บางรายอาจเกิดการเสื่อมของจอประสาทตาอย่างรวดเร็วก็ได้
โรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) เป็นโรคที่เริ่มพบได้ในผู้ที่อายุมากกว่า
40 ปี
และพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
ในปัจจุบันประชากรโลกมีอายุเพิ่มขึ้น จึงพบว่า
โรคนี้เป็นปัญหาทางสาธารณสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีการประเมินว่า
โรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดได้มากกว่าครึ่ง (54%) และคาดการณ์ว่ามีความชุกของโรคนี้อยู่ที่ประมาณ
1.2-1.8% ในประชากรที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป

1. ถ้าเกิดโรคภูมิแพ้หูคอจมูกในส่วนระบบทางเดินหายใจตอนบน จะส่งผลให้อาจเกิดอาการดังนี้
- อาการคล้ายโรคหวัดเรื้อรัง คัดจมูก มีน้ำมูก มีเสมหะไหลลงลำคอ
- อาจมีเสียงแหบ
- รู้สึกจุกในช่องคอ คันคอ เจ็บคอเป็นประจำ/เรื้อรัง
- มีเลือดกำเดาบ่อย
- คันหู หูอื้อ
- เวียนศีรษะ
2. ถ้าเกิดโรคภูมิแพ้หูคอจมูกในส่วนหลอดลม อาจจะทำให้มีอาการดังนี้
3. ถ้าเกิดโรคภูมิแพ้กับผิวหนังร่วมด้วย ผิวหนังอาจจะมีอาการดังนี้
4. ถ้าโรคเกิดกับทางเดินอาหารร่วมด้วย อาจจะมีอาการจากทางเดินอาหารได้ดังนี้
5. ถ้าโรคเกิดกับตาร่วมด้วย อาการที่อาจพบร่วมด้วยคือ
อนึ่งผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะบริเวณคิ้ว รอบกระบอกตา กกหู และบริเวณท้ายทอย (Sinus headache) ร่วมด้วยได้
โรคภูมิแพ้หูคอจมูกมีธรรมชาติของโรคเป็นอย่างไร?
ธรรมชาติของโรคภูมิแพ้หูคอจมูกคือ ไม่ใช่โรคติดต่อแต่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อและ /หรือแม่ไปสู่ลูกได้ (Multiple gene defect) และปัจจุบันเป็นโรคที่ยังรักษาไม่หายขาด การรักษาของแพทย์หวังผลเพียง
- เพื่อให้ผู้ป่วยไม่มีอาการ
- เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงต่างๆตามมาเช่น การติดเชื้อแบคทีเรียของระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น
ถ้าผู้ป่วยเกิดมีอาการเรื้อรังดังกล่าวในหัวข้อ “อาการ” อยู่นานๆไม่รักษาอาจเกิดหูอื้อจนการได้ยินสูญเสียไปอย่างถาวร (Serous-Adhesive otitis media) หรือเกิดมีเนื้องอกในจมูก (Nasal polyp) หรือเกิดไซนัสอักเสบได้ (ไซนัสอักเสบอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆได้เช่นกันเช่น ผนังกั้นโพรงจมูกคด, เนื้องอกในจมูก และ/หรือในไซนัสมีสิ่งแปลกปลอมในจมูกเช่น เมล็ดผลไม้, มีรากฟันบนอักเสบ และอื่นๆ) และ/หรือผู้ป่วยอาจมีอาการหอบหืด/โรคหืดอย่างรุนแรงจนเกิดอันตรายได้
ควบคุมและป้องกันโรคภูมิแพ้หูคอจมูกได้อย่างไร?
ควบคุมและป้องกันโรคภูมิแพ้หูคอจมูกได้โดย
1. หลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆ/สารต่างๆที่ผู้ป่วยแพ้โดยผู้ป่วยควรต้องสังเกตทุกๆอย่างกับอาการที่เกิดขึ้นเสมอเช่น อาหารและเครื่องดื่มที่บริโภค เครื่องใช้ต่างๆเช่น สบู่ น้ำหอม ผงซักฟอก
2. ขจัดหรือหลีกเลี่ยงมลภาวะต่างๆเช่น การสูบบุหรี่ ควันบุหรี่ ควันรถ ยาฆ่าแมลง
3. ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้สะอาดเช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องผลิตโอโซน เครื่องนอนต่างๆเช่น ควรใช้ที่นอน-หมอนยางพารา ผ้าปูที่นอน-ปลอกหมอนควรใช้ชนิดที่ป้องกันไรฝุ่นได้ เป็นต้น
4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามควรกับสุขภาพ
5. พักผ่อนให้เพียงพอ
6. ควรทดสอบสารภูมิแพ้เพื่อการฉีดวัคซีน (Hyposensitization) เพื่อกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิ คุ้มกันต่อสารที่ผู้ป่วยแพ้ ทั้งนี้โดยทั่วไปแพทย์โรคภูมิแพ้มักให้คำแนะนำในเรื่องนี้อยู่แล้ว
รักษาโรคภูมิแพ้หูคอจมูกอย่างไร?
รักษาโรคภูมิแพ้หูคอจมูกโดย
- กินยา ฉีดยา หรือพ่นยาแก้แพ้ เป็นประจำ
- รักษาโรคติดเชื้อแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเช่น การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ โรคไซนัส อักเสบ โรคต่อมทอนซิลอักเสบ
- ใช้น้ำเกลือล้างโพรงจมูกให้สะอาด (ผู้ป่วยควรต้องสอบถามวิธีการล้างจากแพทย์พยา บาลจนเข้าใจจนสามารถล้างด้วยตนเองได้อย่างถูกต้อง)
- ผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติที่เป็นปัจจัยให้เกิดอาการแพ้มากขึ้นเช่น ตัดเนื้องอกในจมูก (Nasal polyp) หรือขูดต่อมอะดีนอยด์ที่อยู่ด้านหลังโพรงจมูกออกเพื่อลดการอุดกั้นของโพรงจมูก
- ขยายโพรงจมูกให้กว้างขึ้น
- ปรับอุณหภูมิและความชื้นของอากาศที่หายใจเข้าไปให้เหมาะสมก่อนหายใจผ่านช่องคอ และกล่องเสียงสู่ปอด
สรุป
การควบคุมโรคภูมิแพ้ซึ่งรวมทั้งโรคภูมิแพ้หูคอจมูกนั้น แพทย์ผู้ให้การรักษาจะเป็นผู้พิจารณาจากอาการผู้ป่วย การตรวจร่างกายและสิ่งผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบว่าสมควรใช้วิธีใด อาจเพียงวิธีเดียวหรือหลายวิธีร่วมกันเพื่อป้องกันและรักษาไม่ให้ผู้ป่วยมีอาการแพ้หรือเกิดโรค/ภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงต่างๆ ทั้งนี้ความสำเร็จในการควบคุมและรักษาโรคที่เกิดขึ้นนั้นขึ้นกับว่า ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์พยาบาลได้สม่ำเสมอหรือไม่
ขอขอบคุณ
พันเอก นายแพทย์ ณฐพล จันทรอัมพร
แพทย์ หู คอ จมูก